car-trip
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558
เรื่องการบำรุงรักษา โช้คอัพสตัทปรับเกลียว
การอัฟเกรดระบบช่วงล่าง และระบบกลไกของรถยนต์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รถยนต์มีความนุ่มนวล หรือควบคุมง่ายขึ้น แต่เนื่องจากในระบบกลไกต่างๆนั้นหากเราต้องการให้มันสามารถที่จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ต้องมีการบำรุงรักษา (เพราะของฟรีไม่มีในรถยนต์)
ในเรื่องของโช้คอัพสตัทปรับเกลียวนั้นส่วนใหญ่ค่าสปริงจะถูกกำหนดมาจากผู้ผลิต แต่เราสามารถที่จะปรับค่า ความหนืด ได้ตามต้องการกับลักษณะการขับขี่ที่ต้องการ
อุณหภูมิ และปัจจัยจากภายนอก เป็นตัวแปรที่มีผลต่อน้ำมันที่บรรจุอยู่ในตัวโช้คอัพ ตัวอย่างเช่น หากเซ็ทค่าความหนืดไว้สำหรับวิ่งในฤดูหนาว แต่พอถึงฤดูร้อนเมื่อนำรถมาขับจะรู้สึกว่าโช้คอัพนิ่มเกินไป และในทางตรงข้ามกันด้วย เป็นต้น
การบำรุงรักษาโช้คอัพสตัทปรับเกลียวควรทำตั้งแต่เมื่อซื้อมาแล้วและก่อนการติดตั้งคือการพ่นน้ำยากันสนิมในบริเวณเกลียวของโช้คอัพ เพราะจะมีการเกิดสนิมก่อนเนื่องจากบางครั้งต้องเจอน้ำและความชื้น ในทุกครั้งที่มีการถอดยางรถยนต์ควรสำรวจดูที่แกนโช้คอัพว่าสกปรกหรือปล่าว ถ้ามีควรทำความสะอาดด้วยแปรง เพราะมีผลต่ออายุของซีลแกนโช้คอัพ
การปรับความ สูง-ต่ำ ของรถยนต์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถ เช่นในบรรดาพวกรถสนามต่างๆเราจะเห็นว่ามีความเตี้ยแทบจะติดพื้น สาเหตุเพราะว่าหากรถยนต์ มีระดับที่ต่ำลงแล้วบรรดาพวกอาร์มที่ค้ำระบบช่วงล่างในจุดต่างๆจะมีความยาวเพิ่มขึ้น ฐานล้อกว้างขึ้นและมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงจึงเข้าโค้งได้ดีขึ้น
ทั้งนี้การปรับ เปลี่ยน อุปกรณ์ หรืออะหลั่ยรถยนต์ต่างๆ เนื่องจากในหลายชิ้นส่วนก็มีราคาที่แพงพอสมควร (ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ได้มา) ดังนั้นในการที่เราอยากจะอัฟเกรดรถยนต์ของเราควรศึกษาหาข้อมูล ข้อดี-ข้อเสีย จุดประสงค์ที่เราต้องการ ก่อนก็ดีหรือปรึกษาช่างที่มีประสบการณ์ จะได้ไม่เสียเงินปล่าวๆคับ
วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ความรุ้พื้นฐาน เกี่ยวกับระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์
เนื่องจากอุณหภูมิที่เกิดจากการจุดระเบิดในห้องเผาใหม้นั้น มีอุณหภูมิสูงเป็นพันองศาหรือในระบบของรถแข่งที่เกือบ 2000 องศา และจะร้อนอยู่เกือบตลอดเวลาหากปล่อยให้อุณหภูมิสูงไปเรื่อยๆเครื่องยนต์จะเกิดอาการเขก และชิ้นส่วนบางอย่างเปลี่ยนรูปจนเกิดการเสียหายได้
ดังนั้นเครื่อยนต์จึงใช้น้ำมาช่วยในการ ลด - ควบคุมอุณหภูมิ ให้คงที่มากที่สุดอยู่ตลอดเวลา เสื้อสูบและฝาสูบจึงถูกออกแบบให้มีทางเดินน้ำที่เรียกว่า Water Jacket และใช้ปั้มน้ำเป็นตัวปั่นให้น้ำหมุนเวียนในเครื่องยนต์และนำความร้อนเข้ามาสู่หม้อน้ำ และลดความร้อนของอุณหภูมิน้ำลงด้วยแผงระบายที่ทำงานรวมกับใบพัดลม และจะหมุนเวียนเอาน้ำที่มีอุณหภูมิลดลงแล้วเข้าสู่เครื่องยนต์เป็นวงจรไปเรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบระบายความร้อนด้วยน้ำของเครื่องยนต์
ทั้งนี้หากเรื่องยนต์เย็นเกินไป จะส่งผลคือ จะกินน้ำมันเชื้อเพลิง ประสิทธภาพของกำลังเครื่องยนต์จะลดลง ดังนั้นการรักษาอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นจึงมีผลสำคัญครับ และเป็นเหตุผลที่ต้องมีอุปกรณ์ที่จะคอยควบคุมการไหลของน้ำที่เรียกว่า เทอร์โมสต้ท
หม้อน้ำรถยนต์มีอยู่สองประเภทใหญ่ๆ คือ แบบที่ทำจากอลูมิเนียม และแบบที่ทำจากทองแดง ข้อดีของทองแดงคือจะคายความร้อนได้ดี แต่มีข้อเสียคือมีน้ำหนักมาก
อลูมิเนียม ข้อดีระบาความร้อนได้ดีแต่ต้องมีการไหลเวียนของลมผ่านแฝงระบาย และมีน้ำหนักที่เบา ข้อเสียคือการคายความร้อนด้วยตัวเองที่สู้แบบทองแดงไม่ได้
หากหม้อน้ำรถยนต์ของเรามีอายุมาก หรือมีการรั่วซึมตามอายุการใช้งานแล้วอยากที่จะเปลี่ยน หรืออัปเกรด ก็มีแนวทางหลากหลายให้คิด เช่น ลักษณะการใช้งาน น้ำหนัก ราคา ความยาก-ง่ายในการติดตั้ง รูปร่างหน้าตา การจัดวางอุปกรณ์รอบๆทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดีครับ แต่หากคิดว่ามันยุ่งยากเกินไป ก็แนะนำว่าแบบ Standard ครับแบบเดิมเลย ไม่ต้องคิดมากประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ ก็เหมือนแบบที่เคยใช้ครับ
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558
อาการ เร่งหาย .ไม่คงที่ .เร่งอืด .เร่งกระโดด เพราะคันเร่งสัญญานเพี้ยน
เนื่องจากความก้าวหน้า ของระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบ ECI หรือ ELECTRONIC CONTROL INJECTION ที่จะคอยควบคุมการป้อนเชื้อเพลิง กับอากาศ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้กำลังของเครื่องยนต์ในแต่ละช่วงเวลาที่ต้องการ ขาคันเร่งจึงเปลี่ยนเป็นแบบระบบไฟฟ้าแทนระบบสายสลิง
แต่ทั้งนี้จะต้องทำงานร่วมกับตัวส่งสัญญานต่างๆ คือ
1.Air flow sensor คือตัวจับปริมาณไอดี ซึ่งรวมถึงการไหลของอากาศ อุณหภูมิของอากาศ ความสม่ำ
เสมอของอากาศ
2.Temperatuer sensor คืออุณหภูมิของเครื่องยนต์
3.Catalytic converter คือไส้กรองที่คอยกำจัดแก็สไอเสียบางอย่าง เพื่อช่วยให้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงได้
ปริมาณที่เหมาะสม
4.Ignition sensor คือองศาการจุดระเบิด ซึ่งรวมถึงการเลือกจังหวะการจุดระเบิดที่เหมาะสมกับค่าของ
เชื้อเพลิง รอบการทำงาน ภาระการทำงานของเครื่องยนต์
อุปกรณ์เหล่านี้จะส่งสัญญานไปที่ ศูนย์ประมวลผล หรือชื่อ ECM ( Elelectronic Control Managenent ) หรือ ECU นั้นเองที่เราเรียกบ่อยๆ
โดยเจ้าศูนย์ประมวลผล หรือชื่อ ECM หรือ ECU แล้วแต่จะเรียกนี้มันก็คือ 'กล่องคอมพิวเตอร์" โดยทำหน้าที่ประมวลผล แล้วส่งสัณณานไปควบคุมอุปกรณ์อื่นๆอีกที เช่น ปั้มแรงดันเชื้อเพลิง หัวฉีด การจุดระเบิด ลิ้นเร่ง เป็นต้น
ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆจะใช้ระบบมอร์เตอร์ไฟฟ้ามาเปิดลิ้นเร่งแทนสายสลิงในระบบเก่า ดังนั้นการส่งสัณณานของขาคันเร่งจึงถูกสร้างมาในแบบการทำงานคือ จะเพิ่มหรือลดค่าต่างศักย์ ของไฟฟ้า และโดยมากในการเพิ่มหรือลดโวล์เตจนั้นจะมีในแบบส่งสัณณานโดยตรง หรือผ่านกล่องควบคุมอีกชั้นนึง
และอย่างที่ทราบกันดีว่าระบบการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นเอาแน่เอานอนไม่ค่อยจะได้เพราะว่าไม่สามารถจับต้องมันได้ และอายุก็เป็นตัวทำให้ค่าการทำงานเสื่อม รวมถึงความขชื้น อุณหภูมิของหน้าสัมผัส ดังนั้นเมื่อใดที่รู้สึกว่าอายุรถยนต์ของเราเกิน 5 ปี หรือเกิน 100000 และมีอาการเร่งหาย .ไม่คงที่ .เร่งอืด .เร่งกระโดด ก็ลองนำรถไปเช็คค่าของขาคันเร่งดูนะครับ
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558
เรื่อง ลิมิเต็ดสลิป สำคัญหรือไม่อย่างไร
ลิมิเต็ดสลิป หรือ Limited Slip Differential หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า LSD นั้นแหละครับ
เนื่องจากโดยปกติแล้วในรถยนต์ทั่วๆไปไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนในล้อหน้า หรือล้อหลังจากโรงงาน ก็จะมีชุดเฟืองท้ายแบบอิสระที่ไม่มีลิมิเต็ดสลิปมาให้นะครับ ยกเว้นในบางรุ่นที่ผลิตมา เช่นรถยนต์ประเภท 4x4
ทั้งนี้ข้อดีของการที่ ไม่มีลิมิเต็ดสลิป ก็คือมันเหมาะสมกับการใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันของเราเพราะสามารถที่จะเข้าโค้งได้้ง่าย เพลาทั้งสองข้างเป็นอิสระจากกัน แต่ด้วยความเป็นอิสระนั้นเองที่ทำให้เครื่องยนต์ที่มีแรงม้า หรือกำลังมากๆไม่สามารถที่จะถ่ายทอดกำลังทั้งหมดลงสู่ยางและพื้นได้เต็มที่ครับ
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของของแต่งนี้อย่าง ลิมิเต็ดสลิป โดยโครงสร้างในปัจจุบันนั้นลิมิเต็ดสลิปมีระบบการทำงาน หรือที่ผลิตออกมาสองแบบครับคือ ระบบฟันเฟือง และระบบแผ่นครัช แต่หลักการทำงานก็จะเหมือนกันคือ จะจับเพลาให้ทั้งสองข้างหมุนให้เท่าๆกันเมื่อได้รับแรงบิดจากเครื่องยนต์ แต่ในแบบระบบฟันเฟืองนั้นหากล้อไม่แตะพื้นก็จะคลายการจับตัว ส่วนในระบบแผ่นครัชจะจับอยู่ตลอดเวลาแต่จะคลายตัว ต่อเมื่อมีแรงบิดจากเครื่องยนต์ลดลง
ในการจับตัวของ ลิมิเต็ดสลิปนั้น มีอีกสองประเภทคือ จับแบบ 2.0 และ 1.5
2.0 คือ การจับแบบตลอดเวลาเหมาะกับรถแข่งประเภทดริฟ เข้า และออกโค้งที่มีความซับซ้อนมากๆ
1.5 คือ การจับตัวของ ลิมิเต็ดสลิปที่เมื่อใดที่กดคันเร่งจะมีการจับตัวแบบ2.0 แต่เมื่อผ่อนคันเร่งจะเหลือการจับแค่ครึ่งเดียว ซึ่งเหมาะกับรถประเภทแข่งทางเรียบ และทางตรง
ดังนั้นจะเห็นว่าถึงแม้เครื่องยนต์จะได้รับการโมดิฟาย ให้มีแรงม้า แรงบิดซักเท่าใดก็ตามแต่ หากไม่สามารถที่จะถ่ายทอดกำลังทั้งหมดลงสู่ล้อได้ทั้งสองข้างก็ไม่ผลมากหากขาดลิมิเต็ดสลิป และอีกประการคือน้ำมัน ที่ใช้้ในการหล่อลื่นและการซ่อมบำรุงจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบที่ไม่มี ลิมิเต็ดสลิปครับเพราะระบบมีความซับซ้อนกว่าครับ
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558
เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับกระจกไฟฟ้ารถยนต์
กระจกไฟฟ้าในรถยนต์นั้น เมื่อก่อนอาจต้องเป็นอ็อปชั่นเสริมที่พิเศษ และมีราคาแพงดูหรูหรา แต่มาถึงทุกวันนี้แม้แต่ในรถยนต์ราคาถูกก็ยังมีให้จนในรถยนต์บางรุ่นหากยังเป็นระบบมือหมุนก็จะดูเป็นของแปลกไปเสียแล้ว
เนื่องจากจุดอ่อนของระบบมือหมุนนั้นก็คือ ตัวมือหมุนนั้นเองที่มักจะหัก แตก หลุด
โดยเฉพาะพวกรางเลื่อนที่ไม่ได้รับการดูแล มักจะมีฝุ่น คราบน้ำที่แห้งติด จนทำให้เราต้องออกแรงหมุนมาก มันจึงหัก แตกในที่สุดนั้นเอง
แต่ในระบบกระจกไฟฟ้าเองก็พบปัญหานี้เช่นเดียวกันแต่ ส่วนที่รับภาระนั้นก็คือ มอร์เตอร์ไฟฟ้า ชุดรางเลื่อนในการยกกระจก สาเหตุใหญ่ๆที่กระจกไฟฟ้ารถยนต์จะเสียนั้นมีอยู่หลักใหญ่ๆ คือ ฝุ่น น้ำฝน หรือน้ำที่ล้างรถ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปน้ำที่ไหลผ่านสักหลาดหรือยางขอบกระจกเข้าไปในร่องกระจก และเข้าไปในประตูก็จะทำให้จาระบีที่คอยหล่อลื่นรางกระจกเสื่อมสภาพลง และหมดไปในที่สุด และเมื่อรางกระจกขาดการหล่อลื่นย่อมต้องฝืดเป็นธรรมดา สังเกตุดูกระจกรถเลื่อนขึ้นไม่เร็วเหมือนแต่ก่อน
การดูแล หรือแก้ไขก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมาย แต่ไม่ง่ายนะครับ ถอดแผงข้างประตูออกมา ระวังพวกตัวล็อค กิ็บล็อคในจุดต่างๆอาจจะแตกหักได้คับ จากนั้นเปิดแผ่นพลาสติกออกมา หากมีสเปรย์จาระบียิ่งดีใหญ่ ฉีดคับฉีดไปที่รางยึดกระจก ชุดยกเฟืองต่างๆที่พอจะมองเห็น อ้อ เสร็จแล้วอย่าลืมใช้จาระบีฉีดไปที่ชุดกลอนประตูด้วยก็ดีครับ ใหนๆถอดแผงข้างประตูแล้ว เพราะชุดกลอนและเซ็นทรัลล็อคก็สำคัญคับ
หากรู้สึกผิดปกติ กับกระจกเวลาที่กดขึ้นหรือลง ควรหาเวลาซ่อมดีกว่าครับ เหตุเพราะว่าหากปล่อยไปเรื่อยๆชุดกลไกต้องออกแรงรับโหลดมากๆอาจทำให้เฟืองแตก เฟืองรูด ชุดยกหรือระบบสลิงขาด หรือมอร์เตอร์ใหม้ได้ อุปกรณ์เหล่านี้ราคาค่อนข้างแพงครับ
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558
น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ เป็นอย่างไร
ในรถยนต์ทุกวันนี้นอกจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราเติมเพื่อให้รถยนต์สามารถที่จะขับเคลื่อนไปได้แล้ว ยังมีน้ำมันเครื่ิองที่เป็นส่วนสำคัญมากที่จะช่วยลดความร้อน หล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์อีกด้วยครับ และที่สำคัญจะต้องรักษาให้อยู่ในระดับที่พอดีกับปริมาณที่กำหนดมาจากโรงงานที่ผลิตนั้นๆด้วย
เท่าที่พบในรถยนต์รุ่นใหม่ๆมีอาการเปลืองน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเครื่องขาดก่อนระยะเปลี่ยนถ่ายสาเหตุน่าจะมาจาก เทคโนโลยีของน้ำมันเครื่องทุกวันนี้มีอายุเปลี่ยนถ่ายที่ยาวนานขึ้น อีกสาเหตุหนึ่งก็คือการนำไอน้ำมันเครื่องกลับมาเผาใหม้ใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถผ่านกฏหมายมลภาวะได้ ก็เลยเปลืองน้ำมันเครื่องกว่าแต่ก่อน
แต่หากว่าเราปล่อยให้น้ำมันเครื่องลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนดจะทำให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์มีความร้อน และการสึกหรอที่สูงขึ้นด้วย และในน้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพนั้น ค่าดัชนีความหนืดจะเปลี่ยนแปลงไป ค่าความหนืดลดลงและสูญเสียคุณสมบัติในการหล่อลื่นไปในบางส่วนและจะทำใหเครื่องยนต์สึกหรอสูงกว่าปกติ ซึ่งน้ำมันเครื่องที่ดีนั้นจะต้องมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอณูสูง ไม่แตกกระจายได้ง่ายและจะต้องรักษาความเป็นฟีลม์บางๆของน้ำมันเพื่อที่จะเคลือบผิวโลหะไว้ได้ดีอีกด้วย
สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพนั้นมีอยู่หลายประการคือ
1.Oxidation ในขณะที่เครื่องยนต์อยู่ในสภาวะที่อุณหภูมิสูง จะทำให้มีอ็อกซิเจนรวมตัวกับน้ำมันเครื่องและผลที่ได้รับคือ จะเกิด Organic Acid หรือยางที่เหนียว และ Organic Acid นี้ทำให้เกิดการกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะผิวหน้าสัมผัสของชิ้นส่วน และยางที่เหนียวนั้นจะเกาะติดอยู่ตามชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์ และในระยะยาวจะทำให้ วาลว์ติด ทางเดินน้ำมันเครื่องอุดตัน หรือแหวนลูกสูบตาย เป็นต้น
2.Dilution เกิดจากน้ำมันเครื่องบางส่วนที่เผาใหม้ไม่หมดไหลกลับสู่ก้นอ่างทำให้น้ำมันเครื่องเจือจางลง และฟีลม์ของน้ำมันเครื่องบางลง คุณสมบัติของน้ำมันที่ดีลดลง
3.น้ำ เมื่อ น้ำมันกับอากาศเกิดการเผาใหม้ อ็อกซิเจนในอากาศจะรวมตัวกับไฮโดรคาร์บอน ( HC ) ซึ่งเป็นโครงสร้างของน้ำมันทำให้เกิดน้ำ ไอน้ำเหล่านั้นจะไหลออกทางท่อไอเสีย แต่เมื่อเครื่องยนต์ไม่ได้ใช้งานหรือเย็นลง ไอน้ำจะจับตัวอยู่ตามผนังกระบอกสูบ และบางส่วนไหลลงสู่ก้นอ่างน้ำมันเครื่องด้วย
3.เขม่า เกิดจากห้องเผาใหม้ จะมีมากในบริเวณหัวลูกสูบ
4.เศษผงฝุ่นที่หลุดลอดมาจากไส้กรองอากาศ (บางคันถอดไส้กรองออกเลยก็มี)
5.เศษโลหะหนัก ที่เกิดจากการสึกหรอตามปกติของเครื่ิองยนต์
เมื่อสิ่งสกปรกเหล่านี้รวมตัวกันก็จะเกิดตะกอนสีดำ น้ำตาล หรือเทาลักษณะคลายโคลนอ่อนๆจะเห็นว่าขนาดมีใส้กรองน้ำมันเครื่องที่แท้ขนาดใหนก็ไม่สามารถที่จะกรองได้หมด100% แน่นอนดังนั้นควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง คู่กับการทำความสะอาดไส้กรองอากาศ และเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับประเภทเครื่องยนต์ของเราด้วย หากไม่รู้จริงๆปรึกษาอู่หรือช่างครับ จะได้มีเครื่องยนต์ที่พร้อมให้เราใช้งานอยู่เสมอ.
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558
อาการขัดข้อง หลังจากวื่งลุยน้ำ,แช่น้ำ
รถยนต์ที่ผ่านการวื่งลุยน้ำ,แช่น้ำ หรือน้ำเข้ารวมถึงไอชื้น จะด้อยประสิทธิภาพในการทำงาน สมรรถนะลดลง หรือมีเสียงดังแปลกๆเพิ่มเข้ามาในขณะขับ,เบรค หรือหนักขึ้นจนถึงขนาดหยุดการทำงานได้
เนื่องจากในระบบการทำงานของรถยนต์นั้นประกอบด้วยชิ้นส่วนมากมายมีทั้งโลหะ อุปกรณ์ทางระบบไฟฟ้า แบ่งเป็นระบบใหญ่ๆได้เช่น
1.ระบบกลไก หรือระบบจักกลต่างๆ
เช่น ระบบช่วงล่าง ลูกปืนล้อ ชุดครัช เฟืองเกียร์ ซึ่งระบบกลไกเหล่านี้ถ้าเปียกชื้นจะทำให้เกิดสนิมขึ้นเกิดการสึกหรอเร็วกว่าปกติ ประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรือหยุดการทำงานได้หากมีการแตก หัก
2.ระบบไฟฟ้า เนื่องจากในรถยนต์เกือบทุกชนิดจะใช้กระแสไฟฟ้าตรง หรือ DC - Derctcurren เมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าถูกความชื้น หรือเปียกน้ำ (ยกเว้นน้ำกลั่น) ซึ่งน้ำจะยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้จึงทำให้เกิดการลัดวงจร ทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่ดี ไม่ได้ หรือวงจรเกิดสนิม
3.ระบบหล่อลื่น ซึ่งเป็นหลักของการเคลื่อนไหวของกลไก และเนื่องจากความคล่องมาจากการหล่อลื่น หากการหล่อลื่นมีความชื้น มีน้ำเข้ามาในระบบจะทำให้ค่อยๆลดประสิทธิภาพ และหยุดทำงานในที่สุด
ดังนั้นหากรถยนต์เราเพิ่งไปลุยน้ำมาในระดับน้ำที่สูงกว่าปกติ หรือต้องอยู่ในสภาพที่เปียก ชื้น มีการแก้ไขเบื้องต้นได้ครับ
1.ทำให้จุดที่เปียก ชื้น ของพวกชุดเครื่องไฟฟ้าแห้ง โดยการเช็ด ใช้ลมแรงเป่า จุดใดที่มีอุปกรณ์ที่
เปลี่ยนได้ในราคาไม่แพง ควรเปลี่ยน เช่น ฟิวส์ รีเลย ต่างๆ
2.เปลี่ยนระบบหล่อลื่นต่างๆ ได้แก่ น้ำมันเครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย เพาเวอร์ ถ้าพบว่าสีเปลี่ยน โดยส่วนมากจะเปลี่ยนเป็นสีขุ่นขาวครับ
3.เช็คระบบกลไกต่างๆ ระบบครัช เบรค เกียร์ หรือในทางอ้อมก็ใช้ไปแล้วสังเกตุอาการแล้วค่อยทยอยซ่อมเป็นจุดก็ได้
4.นำรถยนต์ ไปอู่ซ่อมรถยนต์ที่รู้จริงตรวจสภาพต่างๆ
กรณีที่รถยนต์จมน้ำนะครับ หรือท่วมถึงเครื่องยนต์ ห้ามพยายามติดเครื่องยนต์เด็ดขาดนะครับ ให้ลากไปที่สูง หรืออู่ แล้วทำความสะอาดระบบไฟฟ้า ก่อนที่จะดูระบบอื่นๆต่อไป แน่ใจแล้วถึงลองติดเครื่องได้ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)