วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับกระจกไฟฟ้ารถยนต์


                           กระจกไฟฟ้าในรถยนต์นั้น  เมื่อก่อนอาจต้องเป็นอ็อปชั่นเสริมที่พิเศษ  และมีราคาแพงดูหรูหรา  แต่มาถึงทุกวันนี้แม้แต่ในรถยนต์ราคาถูกก็ยังมีให้จนในรถยนต์บางรุ่นหากยังเป็นระบบมือหมุนก็จะดูเป็นของแปลกไปเสียแล้ว
                           
                           เนื่องจากจุดอ่อนของระบบมือหมุนนั้นก็คือ  ตัวมือหมุนนั้นเองที่มักจะหัก  แตก  หลุด
โดยเฉพาะพวกรางเลื่อนที่ไม่ได้รับการดูแล  มักจะมีฝุ่น คราบน้ำที่แห้งติด จนทำให้เราต้องออกแรงหมุนมาก  มันจึงหัก แตกในที่สุดนั้นเอง 
                           แต่ในระบบกระจกไฟฟ้าเองก็พบปัญหานี้เช่นเดียวกันแต่  ส่วนที่รับภาระนั้นก็คือ มอร์เตอร์ไฟฟ้า ชุดรางเลื่อนในการยกกระจก  สาเหตุใหญ่ๆที่กระจกไฟฟ้ารถยนต์จะเสียนั้นมีอยู่หลักใหญ่ๆ คือ ฝุ่น  น้ำฝน  หรือน้ำที่ล้างรถ  ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปน้ำที่ไหลผ่านสักหลาดหรือยางขอบกระจกเข้าไปในร่องกระจก  และเข้าไปในประตูก็จะทำให้จาระบีที่คอยหล่อลื่นรางกระจกเสื่อมสภาพลง  และหมดไปในที่สุด  และเมื่อรางกระจกขาดการหล่อลื่นย่อมต้องฝืดเป็นธรรมดา  สังเกตุดูกระจกรถเลื่อนขึ้นไม่เร็วเหมือนแต่ก่อน
                           การดูแล  หรือแก้ไขก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมาย  แต่ไม่ง่ายนะครับ  ถอดแผงข้างประตูออกมา  ระวังพวกตัวล็อค  กิ็บล็อคในจุดต่างๆอาจจะแตกหักได้คับ  จากนั้นเปิดแผ่นพลาสติกออกมา  หากมีสเปรย์จาระบียิ่งดีใหญ่  ฉีดคับฉีดไปที่รางยึดกระจก  ชุดยกเฟืองต่างๆที่พอจะมองเห็น  อ้อ เสร็จแล้วอย่าลืมใช้จาระบีฉีดไปที่ชุดกลอนประตูด้วยก็ดีครับ  ใหนๆถอดแผงข้างประตูแล้ว  เพราะชุดกลอนและเซ็นทรัลล็อคก็สำคัญคับ
            
               หากรู้สึกผิดปกติ กับกระจกเวลาที่กดขึ้นหรือลง  ควรหาเวลาซ่อมดีกว่าครับ  เหตุเพราะว่าหากปล่อยไปเรื่อยๆชุดกลไกต้องออกแรงรับโหลดมากๆอาจทำให้เฟืองแตก  เฟืองรูด ชุดยกหรือระบบสลิงขาด  หรือมอร์เตอร์ใหม้ได้  อุปกรณ์เหล่านี้ราคาค่อนข้างแพงครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ เป็นอย่างไร


                        ในรถยนต์ทุกวันนี้นอกจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราเติมเพื่อให้รถยนต์สามารถที่จะขับเคลื่อนไปได้แล้ว  ยังมีน้ำมันเครื่ิองที่เป็นส่วนสำคัญมากที่จะช่วยลดความร้อน  หล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์อีกด้วยครับ และที่สำคัญจะต้องรักษาให้อยู่ในระดับที่พอดีกับปริมาณที่กำหนดมาจากโรงงานที่ผลิตนั้นๆด้วย
                         เท่าที่พบในรถยนต์รุ่นใหม่ๆมีอาการเปลืองน้ำมันเครื่อง  หรือน้ำมันเครื่องขาดก่อนระยะเปลี่ยนถ่ายสาเหตุน่าจะมาจาก เทคโนโลยีของน้ำมันเครื่องทุกวันนี้มีอายุเปลี่ยนถ่ายที่ยาวนานขึ้น  อีกสาเหตุหนึ่งก็คือการนำไอน้ำมันเครื่องกลับมาเผาใหม้ใหม่  ทั้งนี้เพื่อให้สามารถผ่านกฏหมายมลภาวะได้  ก็เลยเปลืองน้ำมันเครื่องกว่าแต่ก่อน
                         แต่หากว่าเราปล่อยให้น้ำมันเครื่องลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนดจะทำให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์มีความร้อน  และการสึกหรอที่สูงขึ้นด้วย และในน้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพนั้น ค่าดัชนีความหนืดจะเปลี่ยนแปลงไป  ค่าความหนืดลดลงและสูญเสียคุณสมบัติในการหล่อลื่นไปในบางส่วนและจะทำใหเครื่องยนต์สึกหรอสูงกว่าปกติ  ซึ่งน้ำมันเครื่องที่ดีนั้นจะต้องมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอณูสูง  ไม่แตกกระจายได้ง่ายและจะต้องรักษาความเป็นฟีลม์บางๆของน้ำมันเพื่อที่จะเคลือบผิวโลหะไว้ได้ดีอีกด้วย
             
                         สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพนั้นมีอยู่หลายประการคือ
1.Oxidation ในขณะที่เครื่องยนต์อยู่ในสภาวะที่อุณหภูมิสูง  จะทำให้มีอ็อกซิเจนรวมตัวกับน้ำมันเครื่องและผลที่ได้รับคือ  จะเกิด Organic Acid หรือยางที่เหนียว และ Organic Acid นี้ทำให้เกิดการกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะผิวหน้าสัมผัสของชิ้นส่วน  และยางที่เหนียวนั้นจะเกาะติดอยู่ตามชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์ และในระยะยาวจะทำให้ วาลว์ติด  ทางเดินน้ำมันเครื่องอุดตัน  หรือแหวนลูกสูบตาย  เป็นต้น
2.Dilution  เกิดจากน้ำมันเครื่องบางส่วนที่เผาใหม้ไม่หมดไหลกลับสู่ก้นอ่างทำให้น้ำมันเครื่องเจือจางลง  และฟีลม์ของน้ำมันเครื่องบางลง  คุณสมบัติของน้ำมันที่ดีลดลง
3.น้ำ  เมื่อ  น้ำมันกับอากาศเกิดการเผาใหม้  อ็อกซิเจนในอากาศจะรวมตัวกับไฮโดรคาร์บอน ( HC ) ซึ่งเป็นโครงสร้างของน้ำมันทำให้เกิดน้ำ ไอน้ำเหล่านั้นจะไหลออกทางท่อไอเสีย แต่เมื่อเครื่องยนต์ไม่ได้ใช้งานหรือเย็นลง  ไอน้ำจะจับตัวอยู่ตามผนังกระบอกสูบ และบางส่วนไหลลงสู่ก้นอ่างน้ำมันเครื่องด้วย
3.เขม่า  เกิดจากห้องเผาใหม้  จะมีมากในบริเวณหัวลูกสูบ
4.เศษผงฝุ่นที่หลุดลอดมาจากไส้กรองอากาศ (บางคันถอดไส้กรองออกเลยก็มี)
5.เศษโลหะหนัก  ที่เกิดจากการสึกหรอตามปกติของเครื่ิองยนต์
                       เมื่อสิ่งสกปรกเหล่านี้รวมตัวกันก็จะเกิดตะกอนสีดำ น้ำตาล หรือเทาลักษณะคลายโคลนอ่อนๆจะเห็นว่าขนาดมีใส้กรองน้ำมันเครื่องที่แท้ขนาดใหนก็ไม่สามารถที่จะกรองได้หมด100% แน่นอนดังนั้นควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง คู่กับการทำความสะอาดไส้กรองอากาศ และเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับประเภทเครื่องยนต์ของเราด้วย  หากไม่รู้จริงๆปรึกษาอู่หรือช่างครับ  จะได้มีเครื่องยนต์ที่พร้อมให้เราใช้งานอยู่เสมอ.

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อาการขัดข้อง หลังจากวื่งลุยน้ำ,แช่น้ำ


                              รถยนต์ที่ผ่านการวื่งลุยน้ำ,แช่น้ำ หรือน้ำเข้ารวมถึงไอชื้น  จะด้อยประสิทธิภาพในการทำงาน  สมรรถนะลดลง  หรือมีเสียงดังแปลกๆเพิ่มเข้ามาในขณะขับ,เบรค หรือหนักขึ้นจนถึงขนาดหยุดการทำงานได้
                              เนื่องจากในระบบการทำงานของรถยนต์นั้นประกอบด้วยชิ้นส่วนมากมายมีทั้งโลหะ อุปกรณ์ทางระบบไฟฟ้า แบ่งเป็นระบบใหญ่ๆได้เช่น

1.ระบบกลไก  หรือระบบจักกลต่างๆ 
เช่น  ระบบช่วงล่าง  ลูกปืนล้อ  ชุดครัช  เฟืองเกียร์  ซึ่งระบบกลไกเหล่านี้ถ้าเปียกชื้นจะทำให้เกิดสนิมขึ้นเกิดการสึกหรอเร็วกว่าปกติ  ประสิทธิภาพการทำงานลดลง  หรือหยุดการทำงานได้หากมีการแตก หัก


2.ระบบไฟฟ้า  เนื่องจากในรถยนต์เกือบทุกชนิดจะใช้กระแสไฟฟ้าตรง  หรือ DC - Derctcurren เมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าถูกความชื้น  หรือเปียกน้ำ (ยกเว้นน้ำกลั่น) ซึ่งน้ำจะยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้จึงทำให้เกิดการลัดวงจร  ทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่ดี ไม่ได้ หรือวงจรเกิดสนิม

3.ระบบหล่อลื่น  ซึ่งเป็นหลักของการเคลื่อนไหวของกลไก  และเนื่องจากความคล่องมาจากการหล่อลื่น  หากการหล่อลื่นมีความชื้น  มีน้ำเข้ามาในระบบจะทำให้ค่อยๆลดประสิทธิภาพ  และหยุดทำงานในที่สุด

               ดังนั้นหากรถยนต์เราเพิ่งไปลุยน้ำมาในระดับน้ำที่สูงกว่าปกติ  หรือต้องอยู่ในสภาพที่เปียก ชื้น  มีการแก้ไขเบื้องต้นได้ครับ

1.ทำให้จุดที่เปียก ชื้น ของพวกชุดเครื่องไฟฟ้าแห้ง โดยการเช็ด ใช้ลมแรงเป่า จุดใดที่มีอุปกรณ์ที่
เปลี่ยนได้ในราคาไม่แพง  ควรเปลี่ยน เช่น ฟิวส์ รีเลย ต่างๆ

2.เปลี่ยนระบบหล่อลื่นต่างๆ  ได้แก่ น้ำมันเครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย เพาเวอร์  ถ้าพบว่าสีเปลี่ยน  โดยส่วนมากจะเปลี่ยนเป็นสีขุ่นขาวครับ

3.เช็คระบบกลไกต่างๆ ระบบครัช เบรค เกียร์  หรือในทางอ้อมก็ใช้ไปแล้วสังเกตุอาการแล้วค่อยทยอยซ่อมเป็นจุดก็ได้
4.นำรถยนต์  ไปอู่ซ่อมรถยนต์ที่รู้จริงตรวจสภาพต่างๆ

      กรณีที่รถยนต์จมน้ำนะครับ  หรือท่วมถึงเครื่องยนต์  ห้ามพยายามติดเครื่องยนต์เด็ดขาดนะครับ  ให้ลากไปที่สูง  หรืออู่  แล้วทำความสะอาดระบบไฟฟ้า ก่อนที่จะดูระบบอื่นๆต่อไป  แน่ใจแล้วถึงลองติดเครื่องได้ครับ